< Previousรัชกาลที่ 10 มาทําการส่องด้วยแอปพลิเคชัน สื่อเทคโนโลยีภาพเสมือนจริง 4. การสแกนบนธนบัตร (มาร์คเกอร์) จะต้องส่องจนปรากฏภาพในด้านที่ต้องการ โดยด้านหน้าของธนบัตรให้ส่องทั้งกระดาษ แต่ในด้านหลังจะมีเนื้อหาสองส่วน คือ ด้านซ้ายและด้านขวา ให้ผู้ใช้งานทําการ แบ่งสแกนครึ่งกระดาษของธนบัตรด้าน ซ้ายหรือขวาจึงจะปรากฏข้อมูลแต่ละด้าน โดยสามารถอ่านเนื้อหาและฟังบทพากย์ ไปพร้อมๆ กัน ช่วยแก้ไขปัญหาการเรียนการสอน วิชาประวัติศาสตร์ได้ การนําเทคโนโลยีเสมือนจริงมาประยุกต์ใช้ใน การเรียนการสอน นอกจากจะสร้างความสนุกสนาน ในการเรียนและไม่น่าเบื่อแล้ว ยังสามารถแก้ไข ปัญหาการเรียนการสอนวิชาประวัติศาสตร์ได้ ดังนี้ 1) แก้ปัญหาเนื้อหาวิชาประวัติศาสตร์ทําให้ ผู้เรียนสามารถเห็นสิ่งต่างๆ จากเทคโนโลยี ภาพเสมือนจริงได้สร้างขึ้น แม้สิ่งนั้นไม่ได้มีอยู่ ในชั้นเรียน 2) แก้ปัญหาครูผู้สอน ทําให้ช่วยอธิบายเนื้อหา ที่เข้าใจยาก สามารถเข้าใจได้ง่ายขึ้นจากการเห็นภาพ เช่น การเรียนในวิชาประวัติศาสตร์ที่เป็นวิชาที่ต้อง ใช้การท่องจํา แต่หากผู้เรียนเห็นภาพจะสามารถ ช่วยให้จดจําเนื้อหาของวิชาประวัติศาสตร์ได้ชัดเจน มากขึ้น 3) แก้ปัญหาผู้เรียนให้กลับมาสนใจการเรียน เพราะสามารถสร้างปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียน กับเนื้อหาได้ โดยที่ผู้เรียนจะเป็นผู้ควบคุม มุมมองต่างๆ ได้ด้วยตนเอง และช่วยในการส่งเสริม ทักษะการเรียนรู้ด้วยตนเอง 4) แก้ปัญหาสื่อจากหนังสือเรียนที่ไม่น่าสนใจ มาเป็นสื่อเทคโนโลยีที่สามารถเห็นภาพ 3 มิติ ซึ่งจะช่วยให้เรียนรู้ได้จากโมเดลที่เห็นได้รอบด้าน จะช่วยให้ง่ายต่อการจดจํามากยิ่งขึ้น การพัฒนาสื่อและเทคโนโลยีภาพเสมือนจริง เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ชาติไทย ในสถานศึกษาอย่างมีประสิทธิภาพและเกิด ประสิทธิผลอย่างเป็นรูปธรรม ควรกําหนดนโยบาย และแนวทางที่ชัดเจน ประกอบด้วย 1. จัดตั้งศูนย์สื่อเทคโนโลยีภาพเสมือนจริง ในการส่งเสริมการจัดการเรียนรู้ด้านประวัติศาสตร์ ชาติไทย และประวัติศาสตร์ท้องถิ่น และด้านสาระ การเรียนรู้อื่นที่เหมาะสมในส่วนกลาง 2. สนับสนุน ส่งเสริม สถาบันอุดมศึกษาเข้ามา ส่งเสริมการสร้างและใช้สื่อเทคโนโลยีภาพเสมือนจริง และเปิดกว้างให้ภาคเอกชนสามารถเข้ามาพัฒนา เนื้อหา เพื่อให้ผู้เรียน ครู และผู้บริหารทางการศึกษา มีทางเลือกในการเรียนรู้ที่หลากหลาย 3. พัฒนาครูผู้สอนให้มีความรู้ ความสามารถ และทักษะในการผลิตสื่อเทคโนโลยีภาพเสมือนจริง ในการส่งเสริมการจัดการเรียนรู้ด้านประวัติศาสตร์ หรือสาระการเรียนรู้อื่นที่เหมาะสม เพื่อสร้าง ประสบการณ์แปลกใหม่ให้แก่ผู้เรียน 4. ช่วยส่งเสริมการพัฒนาสื่อเทคโนโลยี ภาพเสมือนจริงในการจัดการองค์ความรู้ และยกระดับทักษะที่จําเป็น เน้นพัฒนาความรู้ และสมรรถนะด้าน Digital Literacy สําหรับ ผู้เรียนในแต่ละระดับ 98 • วิทยาจารย์5. ส่งเสริมให้มีช่องทางในการแลกเปลี่ยน การประชาสัมพันธ์ผลงานของครู และนักเรียน ที่มีความรู้ ความสามารถ และทักษะในการผลิตสื่อ เทคโนโลยีภาพเสมือนจริง เพื่อเผยแพร่และพัฒนา ศักยภาพครูและนักเรียนด้านเทคโนโลยี บทสรุป ความก้าวหน้าอย่างก้าวกระโดดในด้าน วิทยาศาสตร์เทคโนโลยีหรือเทคโนโลยีดิจิทัล ทําให้การผลิตและการบริหารจัดการเศรษฐกิจ เปลี่ยนไปอย่างมาก ระบบคอมพิวเตอร์ หุ่นยนต์ ระบบอัตโนมัติ เทคโนโลยีเสมือนจริง (AR) ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ถูกนํามาใช้ ทําให้ระบบ เศรษฐก ิ จยุคใหม่ใช้แรงงานภาคอุตสาหกรรม แบบเก่าลดลง เน้นการใช้แรงงานที่มีความรู้ ทักษะ การคิดวิเคราะห์ มีจิตนาการ การจัดการศึกษาไทย ต้องเปลี่ยนแปลงปฏิรูปอย่างขนานใหญ่ เพื่อพัฒนา พลเมืองที่มีความรู้ มีทักษะการทํางานดิจิทัล มีความฉลาด มีความรับผิดชอบ คิดวิเคราะห์ สังเคราะห์ ประยุกต์ใช้เป็น มีความสามารถ ในการทํางาน รู้วิธีแก้ไขปัญหา และสามารถแข่งขัน ทางเศรษฐกิจได้มากขึ้น ประเทศที่ไม่สามารถ ปฏิรูปการจัดการศึกษาของตนให้ก้าวหน้า ตามทันเทคโนโลยีสมัยใหม่ได้ จะถูกทอดทิ้ง ให้ล้าหลังตกตํ่าลง ประชากรจะตกงานและยากจน การศึกษาที่เท่าเทียมและปรับให้เข้ากับยุคสมัย จึงเป็นพื้นฐานสําคัญที่จะช่วยให้เกิดการพัฒนา คน สังคม และประเทศให้เจริญก้าวหน้าต่อไป อ้างอิง • การวิจัยเรื่อง การพัฒนาสื่อเทคโนโลยีภาพเสมือนจริง (Augmented Reality: AR) ในการส่งเสริมการจัด การเรียนรู้ประวัติศาสตร์ชาติไทย สังกัดสํานักงาน คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เอกสารประกอบการสร้าง สื่อเทคโนโลยีภาพเสมือนจริง เรียนรู้ประวัติศาสตร์ชาติไทย ผ่านธนบัตรไทยรัชกาลที่ 10 คู่มือการใช้งานสื่อเทคโนโลยี ภาพเสมือนจริง ส่งเสริม การเรียนรู้ประวัติศาสตร์ชาติไทย ผ่านธนบัตรไทยรัชกาลที่ 10 เมื่อครูขาดความรู้ความเข้าใจ ในวิชาประวัติศาสตร์ ย่อมไม่ สามารถจัดกระบวนการเรียนรู้ ได้ตามเป้าหมายของหลักสูตร รวมทั้งไม่สามารถตอบสนอง ความต้องการของผู้เรียนได้ วิทยาจารย์ • 99Read Up Zone 100 • วิทยาจารย์น ายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้มีนโยบายผลักดัน โครงการส่งเสริมโอกาส ความเสมอภาค และความเท่าเทียมทางการศึกษา “พาน้องกลับมาเรียน” ซึ่งเป็นนโยบายแก้ปัญหา เชิงรุกเด็กหลุดออกจากระบบ เพื่อคืนโอกาส สร้างอนาคตให้เด็ก และแก้ปัญหาในระยะยาว ให้ประเทศ ตามนโยบายรัฐบาลที่จะไม่ทิ้งใคร ไว้ข้างหลัง และตั้งเป้าตัวเลขเด็กหลุดจากระบบ ต้องเป็นศูนย์นั้น นางสาวตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงศึกษาธิการ ได้ขานรับนโยบาย โดยเริ่ม ดําเนินการและมีการแก้ปัญหาเชิงรุกผ่านโครงการ “พาน้องกลับมาเรียน” ด้วยความร่วมมือระหว่าง 3 หน่วยงานหลักของกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ได้แก่ สํานักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (สป.) สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) และสํานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) พร้อมด้วย 11 พันธมิตร ประกอบด้วย กระทรวง มหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวง การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคง ของมนุษย์ สํานักงานตํารวจแห่งชาติ สํานักงาน พระพุทธศาสนาแห่งชาติ กองอํานวยการรักษา ความมั่นคงภายในราชอาณาจักร กรุงเทพมหานคร และกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา ซึ่งถือเป็นความร่วมมือครั้งยิ่งใหญ่ และนับเป็น ครั้งแรกที่จะบูรณาการร่วมกันเพื่อให้ทราบถึง จํานวนเด็กในปัจจุบันที่หลุดออกจากระบบการศึกษา และจะมีการลงติดตามถึงบ้าน เพื่อตามเด็กเหล่านี้ กลับสู่ระบบการศึกษาอีกครั้ง ในช่วงเดือนมกราคม 2565 ที่เริ่มต้นโครงการ มีตัวเลขจํานวนนักเรียน นักศึกษา นักเรียนพิการ และผู้พิการ ที่ตกหล่นและออกกลางคันเหลือ จํานวน 121,642 คน ในจํานวนนี้เป็นนักเรียน นักศึกษากลุ่มปกติ ในสังกัดสํานักงาน คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) สํานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) สํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) และสํานักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) รวมทั้งสิ้น 67,129 คน พบตัวแล้ว จํานวน 52,760 คน สําหรับสถิติจํานวนนักเรียนที่สามารถตามกลับ มาได้ มีสาเหตุที่ต้องหลุดระบบการศึกษาไป เช่น จบการศึกษาภาคบังคับและไม่ประสงค์เข้าเรียนต่อ ความจําเป็นทางครอบครัว ผู้ปกครองมีรายได้น้อย ไม่พอเพียง เป็นต้น ส่วนนักเรียนที่ไม่สามารถ ติดตามได้มีสถิติสาเหตุ เช่น ย้ายถิ่นที่อยู่ ความจําเป็น ทางครอบครัว และระบุสาเหตุไม่ได้ เป็นต้น “พาน้องกลับมาเรียน” สานต่อนโยบาย สร้างความเสมอภาคและ โอกาสทางการศึกษา นโยบายแก้ปัญหาเชิงรุกเพื่อป้องกัน เด็กหลุดออกจากระบบการศึกษา คืนโอกาส สร้างอนาคต และแก้ปัญหา ระยะยาวให้ประเทศ เรื่อง คุณวิมล มาเทียน วิทยาจารย์ • 101ในจํานวนที่พบตัวนี้ มีเด็กที่กลับเข้าระบบ การศึกษา จํานวน 31,446 คน ไม่กลับเข้าระบบ จํานวน 21,314 คน อยู่ระหว่างการติดตาม จํานวน 5,628 คน และติดตามแล้วไม่พบตัว จํานวน 8,741 คน ส่วนที่เหลือเป็นกลุ่มนักเรียน พิการ สังกัดสํานักบริหารงานการศึกษาพิเศษ (สศศ.) สพฐ. และส่วนใหญ่เป็นกลุ่มนักศึกษา กศน. อายุเกิน 18 ปี ที่เกินวัยการศึกษาภาคบังคับ และมีความต้องการประกอบอาชีพ จากการติดตาม ลงพื้นที่จริงดังกล่าวทั่วประเทศ ในช่วงเดือน มกราคม - มิถุนายน 2565 จึงถือเป็นเฟสแรก ในการดําเนินงานโครงการ ส่งผลให้มีจํานวนเด็ก ที่หลุดออกนอกระบบลดลงเหลือ 1 หมื่นกว่าคน เท่านั้น ปัจจัยสู่ความสําเร็จของการดําเนินงานเก ิ ดจาก การประสานการดําเนินงานร่วมกันระหว่าง หน่วยงานต่างๆ ที่ลงพื้นที่และการแก้ไขปัญหา อย่างจริงจัง มีการนําเทคโนโลยีเชื่อมโยงข้อมูล (Big Data) มาใช้เป็นเครื่องมือในการติดตาม ค้นหา และบันทึกผลการติดตาม ผ่านแอปพลิเคชัน “พาน้องกลับมาเรียน” และเว็บไซต์ dropout. edudev.in.th ที่สําคัญเกิดจากความร่วมแรงร่วมใจ ของผู้บริหาร ครู และบุคลากรการศึกษา ในการลงพื้นที่เยี่ยมบ้านเด็ก เพื่อค้นหาเด็กตกหล่น และเด็กออกกลางคัน ให้กลับเข้าสู่ระบบการศึกษา อย่างต่อเนื่อง สําหรับปัญหาอุปสรรคที่พบ มีหลายด้านเช่นกัน อาทิ • ปัญหาด้านครอบครัว เนื่องจากนักเรียนที่ หลุดระบบการศึกษาส่วนใหญ่มีฐานะยากจน ครอบครัวหย่าร้าง ต้องช่วยพ่อแม่ประกอบ อาชีพหารายได้เลี้ยงครอบครัว จึงทําให้ ไม่สามารถเข้าเรียนในระบบได้ • ปัญหาด้านการบันทึกข้อมูลไม่เป็นปัจจุบัน เช่น นักเรียนจบการศึกษาในระดับชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 3 จากโรงเรียนขยายโอกาส ไปแล้ว แต่ยังมีข้อมูลนักเรียนว่าเป็นนักเรียน ออกกลางคัน • นักเรียนมีอายุเก ิ นเกณฑ์การศึกษาภาคบังคับ โรงเรียนได้จําหน่ายนักเรียนออกจาก ฐานข้อมูลนักเรียนไปแล้ว แต่ยังมีข้อมูล นักเรียนว่าเป็นนักเรียนออกกลางคัน • ข้อมูลนักเรียนไม่เชื่อมโยงกันอย่างเป็นระบบ มีหลายฐานข้อมูล ส่งผลกระทบต่อการติดตาม • ขาดแคลนอุปกรณ์การเรียนในช่วงโควิด-19 ทําให้เรียนไม่ทัน จึงหยุดเรียน ประกอบกับ ผู้ปกครองพาเด็กไปทํางานรับจ้าง ส่งผลกระทบ ต่อการติดตามตัวเด็ก อาจแนะนํานักเรียนเข้าเรียน การศึกษานอกระบบ (กศน.) หรือเรียนสายวิชาชีพ เพื่อจะได้ ประกอบอาชีพและสามารถ เรียนจนจบการศึกษาภาคบังคับ 102 • วิทยาจารย์• ความหลากหลายของชาติพันธุ์นักเรียน เช่น กระเหรี่ยง มูเซอ แม้ว ไทยใหญ่ และประเทศ เพื่อนบ้านที่อพยพมาจากพื้นที่ชายขอบ ที่มีวิถีทางขนบธรรมเนียมของแต่ละชนเผ่า ที่เน้นให้ความสําคัญกับการดํารงชีวิต มากกว่าการมุ่งให้ความสําคัญในการศึกษา อย่างไรก็ตาม เพื่อให้การทํางานในเรื่องนี้ เป็นไปตามเป้าหมาย ศธ. จึงมีข้อเสนอว่า อาจต้อง แนะนําให้นักเรียนเข้าเรียนการศึกษานอกระบบ (กศน.) หรือเรียนสายวิชาชีพ เพื่อจะได้ประกอบ อาชีพหารายได้เลี้ยงครอบครัว และสามารถ เรียนจนจบการศึกษาภาคบังคับ หรือการศึกษา ขั้นพื้นฐาน พร้อมทั้งเร่งพัฒนาระบบการจัดเก็บ ข้อมูลนักเรียนในแอปพลิเคชัน Dropout ของ สพฐ. ให้เป็นระบบเดียวกัน เป็นปัจจุบัน และเชื่อมโยงกับข้อมูลของสถานศึกษาทุกสังกัด โดยใช้เลขประจําตัวประชาชน 13 หลัก เพื่อป้องกัน การบันทึกข้อมูลซํ้าซ้อนของสถานศึกษา หรือ การเปลี่ยนชื่อ-สกุลของนักเรียน โดยให้หน่วยงาน ในระดับจังหวัดและภาคเข้ามาช่วยเรียกดูข้อมูล ในภาพรวมของจังหวัดและภาคของตนเอง ได้ทันที เพื่อความรวดเร็วในการประสานงานและ เก็บรวบรวมข้อมูล โดยมีการติดตามทุกภาคเรียน เพื่อความชัดเจนของข้อมูล ความสําเร็จในการพาน้องที่ตกหล่นจากระบบ การศึกษาให้กลับเข้ามา เป็นความท้าทายของ ทุกภาคส่วน ทุกหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน ที่จะร่วมมือกันทุกวิถีทางที่จะสร้างโอกาสทาง การศึกษาให้กับเด็กเหล่านี้ ดังนั้น การได้รับ ความร่วมมือจากภาคเอกชนในการเข้ามาโอบอุ้ม ดูแลเด็กยากจนหรือกลุ่มเปราะบาง จึงมีความ จําเป็นอย่างยิ่ง เพราะสิ่งสําคัญกว่าการพากลับ เข้ามาในระบบการศึกษาแล้ว จะต้องดูแล ส่งเสริม สนับสนุนเด็กกลุ่มนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้หลุดออกจาก ระบบการศึกษาไปอีก ซึ่งถือเป็นความท้าทาย ของทุกภาคส่วนในสังคม ที่ตั้งเป้าตัวเลขเด็ก หลุดออกจากระบบการศึกษาต้องเป็น “ศูนย์” ภายในปี 2565 นี้ ขณะนี้ ศธ. ได้เดินหน้าโครงการ “พาน้องกลับ มาเรียน” เฟส 2 ต่อ โดยเน้นช่วยเหลือนักเรียน นักศึกษาในวัยการศึกษาภาคบังคับที่ตามตัวพบแล้ว แต่ยังไม่กลับเข้าสู่ระบบให้ได้กลับมาเรียนอีกครั้ง โดยตั้งเป้าหมายดําเนินการพากลับมาได้ 100% ภายในเดือนกันยายนนี้ รวมถึงเด็กกลุ่มอื่น ที่ยังไม่กลับเข้าระบบและตามตัวไม่พบด้วย ขณะเดียวกันในกลุ่มเด็กที่กลับเข้าสู่ระบบ การศึกษาแล้ว จะมีระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน และป้องกันการหลุดจากระบบการศึกษาซํ้า โดยโรงเรียนรู้จักนักเรียนเป็นรายบุคคล จําแนก กลุ่มปกติ กลุ่มเสี่ยง กลุ่มมีปัญหา เพื่อการดูแล ช่วยเหลือตามสาเหตุนั้นๆ “โครงการพาน้อง กับมาเรียน” นับเป็นโครงการที่สร้างโอกาส และความเสมอภาคทางการศึกษาเพื่อให้เท่าทัน การเปลี่ยนแปลงของโลก การพาน้องที่ตกหล่นจากระบบการศึกษา ให้กลับเข้ามา เป็นความท้าทายของ ทุกภาคส่วน ทุกหน่วยงานทั้งภาครัฐและ เอกชน ที่จะร่วมมือกันทุกวิถีทางที่จะสร้าง โอกาสทางการศึกษาให้กับเด็กเหล่านี้ วิทยาจารย์ • 103104 • วิทยาจารย์ ยําสามกรอบ ..... บางครั้งเวลานั่งคิดงานฟุ้งๆ อยู่ที่โต๊ะทํางาน ถ้ายังไม่อยากพิมพ์ลงไปในคอมพิวเตอร์ ผมจะจด ไอ้ที่คิดออกลงไปบนกระดาษรีไซเคิลขนาดเอ 4 เขียนข้อความยาวๆ ลงกระดาษครั้งหลังสุด รู้สึกว่ามือแข็ง เคลื่อนไหวไม่ไหลลื่น ลายมือนั้นหรือ ก็ถือว่าแย่มาก (จากเดิมที่ก็ไม่ได้ดีอยู่แล้ว) น่าจะเป็นเพราะเรา “เขียน” น้อยลงทุกวัน เราเอาแต่พิมพ์ ทํางานหน้าคอมก็พิมพ์ นําเสนองานก็ต้องพิมพ์ คิดไอเดียอะไรขึ้นมา ได้ตอนไหน (ที่ไม่ใช่ที่โต๊ะทํางาน) ก็พิมพ์บันทึกไว้ ในโทรศัพท์มือถือ คุยกับเพื่อนผ่านไลน์ก็พิมพ์ ส่งข้อความ ก็พิมพ์ ส่งจดหมายก็พิมพ์ ซื้อของออนไลน์ก็พิมพ์ โอนเงินก็พิมพ์ แคปชั่นที่อ่านอยู่นี่ก็ต้องพิมพ์ เรา “เขียน” น้อยลงทุกวัน มองเด็กๆ วันนี้หัดเขียนแล้วก็เห็นใจ หัด “เขียน” เพื่อโตขึ้นมา พบว่าโลกเดี๋ยวนี้ แทบจะไม่ต้องเขียนแล้ว หัด “เขียน” เพื่อโตขึ้นมา “พิมพ์” แล้วก็จะต้องเอาแต่พิมพ์ จนรู้ตัวอีกที ★ “ ชุดความคิดฅุรุชน ” ★ ฤๅโลกวันนี้เลิกเขียนกันซะแล้ว!? เขียน ณ บางขุนเทียน ★ ผมเริ่มเซ็งกับ “การเขียน!!” ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าด้วยสาเหตุอันใด... แต่หากจะ วิเคราะห์กันจริง ก็น่าจะพอหาคําตอบได้หลากหลาย เช่น วัยที่เกิน 70 จิตและกายอาจโรยรา ล้าหน่าย!?... หรือผมอาจเขียนประจําใน “วิทยาจารย์” นานเก ิ นไป!?... หรือรู้ว่า โลกหนังสือที่พิมพ์ด้วยกระดาษวันนี้ ค่อยหมดความจําเป็นแล้ว!?... และที่คุรุสภาทํานี่ ก็เหมือนพยายามผลิตขึ้นนิดหน่อย เพียงเพื่อ รักษาประวัติศาสตร์ของวารสารวิชาชีพครู ที่เริ่ม จัดพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี 2443 ไม่ให้ขาดหาย!?... แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุใด ผมก็คร้านจะหาคําตอบ ให้ตัวเอง.... แต่... เมื่อไม่นานมานี้ ผมอ่านพบข้อเขียน (พิมพ์) ของ Thom Thongsri ใน Facebook จึงรู้สึก สะดุดคิด... หรือว่า... นี่อาจเป็นคําตอบ... ลองอ่านดูนะครับ.. ***************************วิทยาจารย์ • 105 ก็พบว่าเริ่มเขียนไม่ถนัด มือแข็ง เคลื่อนไหว ไม่ไหลลื่น อาจจะเป็นอีกครั้งที่ความก้าวหน้าของ เทคโนโลยีค่อยๆ ลดทอนศักยภาพบางอย่าง ของมนุษย์โดยที่บางทีเราก็ไม่รู้สึกตัว และที่น่ากลัวคือ เราก็ยินดี... *************************** เป็นไงครับ... พอเป็นเหตุผลที่ผมจะ เบื่อเขียน ได้มั้ย!?... และในความเป็นจริงระยะหลัง ผมจัดทํา “ชุดความคิดของฅุรุชน” ซึ่งมีภาพประกอบบทกวี, พร้อมข้อเขียนชวนคิด และแนบด้วยลิงก์เพลง จัดว่าเป็นพัฒนาการของ “บทความยําสามกรอบ” ขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง... และ... ผมกําลังจะบอกว่า... ทั้งหมดนี้ผมพิมพ์ ไม่ได้เขียนอีกแล้ว... ลองอ่าน “ข้อพิมพ์” ชุดความคิดฅุรุชนดูนะครับ ว่าพอไปได้มั้ย... หากแย่ ก็จะได้พักกันจริงๆ สักที.... ๑. ★ สนทนา “ธรรม” ชาติ ★ ตื่นเช้าสิ ... การตื่นเช้า เรามีโอกาส “สดับเสียง” แห่งธรรมชาติสนทนากัน ซึ่งนับวันเรามักจะได้ยิน เสียงเทคโนโลยี ... รอบกาย ๒. ★ ใครเล่า จัก… “จัดวาง” ★ วันนี้ พรรณนากันด้วยเรื่อง “ธรรมชาติ” บ้างก็ดี นะครับ... “ฟูจิยาม่า” เป็นภูเขาไฟเก่าที่งามสง่าด้วย รูปทรง Shape มีเสน่ห์แบบน่ารัก น่าเกรงปนกัน... เสมือนสตรีงาม ในความฝัน.. “เธอ” ประดุจไฝเม็ดงามที่แต้มบนแก้มโลก... เธอ... คือ ผิวโลกส่วนหนึ่งที่คนรู้จักมากที่สุด! ปุยเมฆขาว ราวผ้าเจอร์ซี่ที่บางพลิ้ว พรางหน้า “ฟูจิยาม่า” ดุจดั่งมนต์เสน่หา ซึ่งเร้นลับ! และ... ที่ไกวก้าน สะบัดกลีบสีชมพูแผ่วหวาน เบื้องหน้า คือ Shiba Sakura... ที่งดงามแบบ Kosmos สาวกรีกผู้บริสุทธิ์ ไร้เดียงสา... แต่ยามเธอระริกล้อลมหนาวเต็มทุ่ง สวยพราวนั้น ผมชอบเรียกว่า “ดาวกระจาย” ดูเหมือนจะชัด และตรงใจกว่า ลองขยายภาพนี้สิครับ ที่กลีบบาง เหมือนมี หยดนํ้าตา จากเมฆหม่นบนปรางสาวสวย เมื่อ เห็นภาพนี้... Keyword ที่ผุดมาโดยพลัน คือ... “จัดวาง”... ใครหนอ? มา “จัดสรร” Provide และเป็น ผู้... “จัดการ” Manage ให้ความงาม เหงา เศร้า รื่นรมย์ ความน่ากลัว อยู่กันได้ ลงตัว! แล้ว “สุนทรียะ” ทั้ง กายและจิต ของมนุษย์ล่ะ เราคงต้องตื่นมา “จัดวาง” ให้สมดุลเองกระมัง! หาใช่พระเจ้าองค์ใด ไม่.!๚๛106 • วิทยาจารย์ ๔. ★ “ขอโอกาส” ★ บางชีวิตอาจเล็กและต้อยตํ่า กระทั่งเรามองข้าม หรือยํ่าผ่าน!! แต่... เมื่อใด เรา Slow Life ชะลอชีวิตให้ช้าลง เราจะพบความงามของชีวิตอื่นอีกมากมายที่ดิ้นรน นําพา “ตัวตน” ไปบรรลุเป้าหมาย ตามพันธะ ที่กําเนิดมาตามกรรม! เอาล่ะ! วันนี้ลองสงบใจ-กาย สักพัก แล้วลอง เหลือบหรือก้มดูชีวิตอื่นรอบๆ กาย ใกล้ตัวสิครับ แววตาคุณจะฉงน แต่รอยยิ้มของคุณจะแย้ม แต้มด้วยเมตตา นี่ไงครับ คือ “พุทธวจนะ” ที่ว่า... “สรรพชีวิตัง ตถตา” อันว่าชีวิตทั้งหลายเป็นธรรมดา เช่นนี้เอง.๚๛ ๓. ★ “ส่งเสริม… หรือ ประชัน… !?” ★ เชื่อมั้ยครับว่า ชีวิตของมนุษย์... และธรรมชาติ บนโลกนี้ กําเนิดมาพึ่งพาเกื้อกูลกัน มากกว่าจะ.. ทําลาย กัน สังเกตดูสิครับ... พิจารณาไปเงียบๆ ก็จะเห็น “การเอื้อเฟื้อ” ต่อกันเสมอ.!! ส่วน... การโกรธ เกลียด กลัว ชิงชัง อิจฉา ริษยานั้น... เป็นเรื่อง “อกุศล” ของ “จิตตารมณ์” ที่พอกเพิ่มด้วย กิเลส ทั้งสิ้น หากเพียงอยู่ในกลุ่มเล็กก็ไม่กระไรนัก.! แต่ถ้าเป็นกลุ่มใหญ่ระดับชาติ และยิ่งระดับโลกแล้ว ยิ่งผนวกกับการเพิ่มผลประโยชน์เข้ามาผสมผสาน ด้วยแล้ว “ความวิบัติ” ก็จะ... ยิ่งเกิดไวขึ้น.! ทางที่ดี... เราช่วยกันทําให้ ความรัก ความเมตตา ความกรุณา เบ่งบานกันเถิด อย่างน้อยการช่วยกันเพิ่มกุศลเช่นนี้ ผมเชื่อว่า จักทําให้โลกที่เร่าร้อนในวันนี้ สงบและงามมากกว่า เดิม.๚๛วิทยาจารย์ • 107 ๕. ★ “แพร่พันธุ์” ★ “ธรรมชาติ” นั้น ยุติธรรมเสมอ... ในการให้เวลา แก่สํ่าสัตว์และพืช แต่ให้มีชีวิตนั้น สั้น - ยาวต่างกัน และสร้างกระบวนการผสมพันธุ์ เพื่อให้สืบเผ่าพันธุ์ อย่างสมดุล แต่ต้องชัดเจนเรื่อง “กรอบเวลา” สภาวะการเกิด แก่ เจ็บ ตาย และเจริญพันธุ์ ของสัตว์ - พืชนั้น วงการวิทยาศาสตร์ยังเยาว์นัก ในองค์ความรู้เพราะเพิ่งเข้าใจในเหตุ - ผล ในช่วง 100 กว่าปีมานี้ที่วิทยาศาสตร์ได้ค้นพบ “Cell” เป็นชีวิตมูลฐาน แต่พระพุทธเจ้าตรัสเรียก สิ่งเดียวกันนี้ว่า “กัลละ” มหัศจรรย์ไหมครับ.!! ?? ยังมีความอัศจรรย์ อีกมากที่เราไม่รู้ซึ่งซ่อนอยู่ ใน เนื้อธรรม ที่ถูกหุ้มด้วยกระพี้ ให้เราพะวง หลงทิศ กระทั่งไม่เห็น สัจธรรม! เชื่อมั้ยครับว่าพระพุทธเจ้าได้ “ตรัสรู้” เรื่องนี้อย่างลึกซึ้งมานานกว่าสองพันปี (ดูพระไตรปิฎก)๚๛ ๖. ★ “เตรียม... ทิ ้ งใบ” ★ เมื่อ 2600 กว่าปีมาแล้ว... พระพุทธองค์ให้ปัจฉิมโอวาทก่อนปรินิพพาน (สุตตันตปิฎก) เล่ม 2 ทีฆนิกาย มหาวรรค ความว่า.. “สังขารทั้งหลายมีความเสื่อม ไปเป็นธรรมดา พวกเธอจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด”... อดีต “องค์ปิยมหาราช” ก็ทรงพรากจากเรา ทิ้งรัก ศรัทธาให้เป็น รอยหม่นบนใจไทยมาแล้ว และ “ในหลวง ร.๙” คือ ศูนย์รวมจิตใจ ปวงชนชาวไทยก็สวรรคต อันโศกาอาดูรนั้น ยากจะห้าม เราเคยเห็นนํ้าตานองแผ่นดินสําหรับปิยราชาผู้นิราศจากไป หลังจากนี้เช็ดนํ้าตาให้เหือด... จงปฏิบัติธรรมตามพระศาสดา ตามดําริพระราชาที่เรารักเถิด ★ เพื่อ “สร้างดี” ให้แผ่นดิน แล้ว “เตรียม... ทิ้งใบ” ด้วย... ความพร้อมแลไม่ประมาท ★ ตามกฎแห่งธรรมทุกคนเทอญ!๚๛ HOTLINE – สายตรงNext >